Monday, May 19, 2008

Hidden Agenda in Jakrapop Penkair's eyes (3)


เป้าหมายแท้จริงที่สะท้อนผ่านจักรภพ (3)

คำพูดของ นายจักรภพ เพ็ญแข ต่อที่ประชุมสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย เมื่อเดือนกันยายน 2550 ตามที่ได้นำมากล่าวให้เห็นรวม 4 ประเด็น ไปแล้วนั้น โดยเฉพาะในประเด็นที่ 4 ซึ่งเป็นประเด็นที่สะท้อนให้เห็นความต้องการอันแท้จริงที่ต้องใส่ใจว่าในที่สุดแล้วประเทศไทยควรปกครองกันอย่างไร

นายจักรภพพูดไว้อย่างนี้

" ในอดีตเราเคยพลาดโอกาสอย่างในสมัยนายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำพลเรือนในการปฏิวัติเมื่อ ค.ศ.1932 หรือ พ.ศ.2475 ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงระบบจากการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งขณะนั้นตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว นายปรีดี กล่าวในเวลาต่อมาว่า เขายึดอำนาจได้เมื่ออายุ 32 ปี และเมื่ออายุใกล้ 50 ปีเขาหมดอำนาจและไปใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงปักกิ่ง และต่อจากนั้นก็ไปอยู่ฝรั่งเศส เขาไม่เคยกลับเมืองไทยเลย มีเพียงเถ้ากระดูกเท่านั้น เขาเคยกล่าวว่า " เมื่อผมมีอำนาจผมก็ไม่รู้ว่าผมจะใช้อำนาจนั้นอย่างไร แต่เมื่อผมอายุมากขึ้นและรู้ว่าจะใช้อำนาจอย่างไร ผมกลับไม่มีอำนาจแล้ว "

นายจักรภพ พูดต่อไปว่า "แนวคิดที่ว่าเรามีอะไรหรือได้อะไรมาไม่ถูกเวลา เตือนให้เราทราบว่าเราอาจจำเป็นต้องมีผู้นำที่จะช่วยปรับปรุงทุกสิ่งทุกอย่างให้เราใหม่ ท่านเห็นหรือไม่ว่าทุกอย่างที่ผมกล่าวมาตั้งแต่ต้นนำไปสู่ความเชื่อที่คนไทยยังคงมีอยู่ว่า ด้วยการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาเช่นนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องมีประชาธิปไตย เราถูกชักนำให้เชื่อว่า รูปแบบของรัฐบาลที่ดีที่สุดคือ ประชาธิปไตยที่ถูกชี้นำหรือประชาธิปไตยภายใต้การชี้นำ การนำทางที่ยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นการพัฒนาแนวคิดและความเชื่ออย่างต่อเนื่องมาจนถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งผมมองว่ามันเป็นความขัดแย้งแบบเผชิญหน้ากันระหว่างประชาธิปไตยกับระบบอุปถัมภ์ "

นายจักรภพพูดอย่างนี้คงไม่ต้องแปลความอะไรกันอีกว่า นายจักรภพกำลังชี้นำให้ผู้คนเห็นว่าสถานการณ์ขณะนี้จำเป็นต้องมีผู้นำเข้ามาทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองบ้านเมืองเสียใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ก็คือไม่เอาระบบอุปถัมภ์

นายจักรภพไม่ต้องการการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขใช่หรือไม่ เพราะนายจักรภพได้เคยพูดอธิบายความหมายของระบบอุปถัมภ์มาก่อนหน้านี้แล้ว โดยนายจักรภพได้กล่าวถึงประวัติศาสตร์ของเมืองไทยตั้งแต่พ่อขุนรามคำแหงเรื่อยมาจนถึงราชวงศ์จักรี

นายจักรภพยังได้กล่าวต่อไปอีกว่า

" ระบบอุปถัมภ์เป็นตัวปัญหา เพราะมันส่งเสริมความไม่เท่าเทียมกันของปัจเจกบุคคล และนั่นคือความขัดแย้งโดยตรงกับประชาธิปไตย มันส่งเสริมให้คนคิดพึ่งพาคนอื่น มันก่อให้เกิดทาสจำนวนมหาศาลแต่มีนายจำนวนเพียงไม่กี่คน มันขัดขวางมิให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากยุคสมัยเก่า "

ไม่มีอะไรจะชัดเจนมากไปกว่านี้ว่าความคิดความเห็นของนายจักรภพพุ่งตรงไปที่อะไร และต้องการเปลี่ยนแปลงอะไร

นายจักรภพพูดถึง ทักษิณ ให้ที่ประชุมสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทยฟังในระหว่างการบรรยายวันนั้นไว้ด้วย มีเนื้อหาดังนี้

" นายกฯทักษิณซึ่งผมได้ทำงานด้วย และเริ่มรู้สึกชอบท่านเป็นการส่วนตัว ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับการละเมอเดินขณะหลับอยู่ นายกฯทักษิณได้กำจัดอำนาจของระบบอุปถัมภ์ และเปลี่ยนให้เป็นนโยบายสาธารณะ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่จะได้ประโยชน์ ผมอยู่กับท่านด้วยผมจึงทราบว่าท่านมิได้แนะนำนโยบายเหล่านั้นในเชิงปรัชญา ท่านเพียงแต่ต้องการทำงานให้สำเร็จ ท่านต้องการให้ประชาชนรักท่านชอบท่าน ท่านต้องการเป็นคนรวยที่มีประโยชน์ ซึ่งนั่นก็คือวิธีที่ท่านจัดการกับเงินของท่าน

แต่แล้วความเป็นกันเองของท่านก็กลายเป็นความขัดแย้งกับระบบอุปถัมภ์ เพราะสิ่งที่ท่านทำในแบบของท่านสามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้นอย่างรวดเร็วเพียงในเวลา 5 ปี ประชาชนระดับรากหญ้าเริ่มรู้สึกว่าเขามีสิทธิ์ พวกเขามีสิทธิ์ที่จะรู้สึกว่าพวกเขาสามารถที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิมได้มากกว่าที่จะรู้สึกว่าดีขึ้นกว่าเดิมเพียงเล็กน้อย กล่าวคือพวกเขามีทางเลือกใหม่ และทักษิณมิได้ทำไปเพื่อท้าทายใคร แต่มีคนรู้สึกว่าถูกท้าทายจากสิ่งที่เขาทำ "

นี่คือ ทักษิณ ในสายตาจักรภพ

ทักษิณที่จักรภพบอกว่าเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

ทักษิณที่จักรภพบอกว่าเป็นทางเลือกใหม่ เป็นทางเลือกที่จักรภพบอกว่า ประชาชนมีทางเลือกใหม่ คือทักษิณผู้ทำชีวิตประชาชนให้ดีขึ้นจากเดิมมากกว่า โดยเฉพาะประโยคของจักรภพที่ว่า "นายกฯทักษิณได้กำจัดอำนาจของระบบอุปถัมภ์ และเปลี่ยนให้เป็นนโยบายสาธารณะ" นั้นจักรภพได้เปลือยให้เห็นอย่างล่อนจ้อนว่าเป้าหมายแท้จริงของการทำงานของ ทักษิณ กับพวกนั้นต้องการกำจัดอะไร

จักรภพยังพูดอะไรต่อไปอีกมากเกี่ยวกับทักษิณให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศฟังในวันนั้น ซึ่งจะนำมากล่าวให้ทราบต่อไป

ผู้เขียน : ตาโป๋เป่าปี่
คอลัมน์ : กวนใจให้สะอาด หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 20/5/2008



No comments:

Google