เป้าหมายแท้จริงที่สะท้อนผ่านจักรภพ (1)
คงไม่มีอะไรที่จะต้องอ้อมค้อมกันอีกแล้วว่า ขณะนี้มีคนกลุ่มหนึ่งในบ้านเมืองกำลังมีพฤติกรรมและการกระทำที่ไม่บังควร อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งการพูดจาและการแสดงออกในลักษณะสะท้อนถึงความต้องการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไปสู่การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในรูปแบบอื่นตามที่คนพวกนี้ใฝ่ฝัน
ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เริ่มชัดเจนมาตามลำดับในระยะเวลาห้าหกปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ ด้วยรูปแบบของการกระทำที่ต่างๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแจกจ่ายแผ่นปลิว ซีดี เว็บไซด์ แพร่กระจายไปทั่วด้วยข้อความที่ใส่ร้ายป้ายสีชี้ชวนให้เกลียดชัง บ่อนเซาะทำลายไปทีละเล็กละน้อย แม้กระทั่งกล้าที่จะท้าทายอย่างไม่หวั่นเกรงด้วยการไม่ยืนขึ้นเมื่อมีเพลงบรรเลงสรรเสริญพระบารมี รวมทั้งการใส่เสื้อยืดที่มีข้อความว่า "ไม่ยืน ไม่ใช่อาชญากร" และ "คิดต่าง ไม่ใช่อาชญากรรม" เป็นต้น
สิ่งที่ปรากฏขึ้นดังกล่าวเป็นสัญญาณบอกเหตุ
บอกให้รู้ว่าบ้านเมืองกำลังตกอยู่ในห้วงอันตรายที่น่ากลัวที่สุด หากพฤติกรรมและการแสดงออกต่างๆ เหล่านี้ยังคงขับเคลื่อนไปข้างหน้า เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายภายใต้ความไม่ใส่ใจของผู้ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
สิ่งที่สะท้อนผ่านการพูดจาของ นายจักรภพ เพ็ญแข ต่อที่ประชุมของสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย เมื่อเดือนกันยายน 2550 (หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549) บ่งบอกนัยสำคัญหลายอย่างที่ต้องนำมากล่าวให้เห็นและช่วยกันคิดว่าเป้าหมายแท้จริงของเนื้อหาที่นำมาพูดนั้นในที่สุดแล้วคืออะไรกันแน่
นายจักรภพพูดไว้หลายเรื่องหลายราว
จะหยิบยกประเด็นสำคัญๆบางประเด็นให้เห็น ซึ่งแต่ละประเด็นดังกล่าวปรากฏอยู่ทั้งภาพและเสียงใน ซีดี ของการพูดจาของนายจักรภพในวันนั้น
ประเด็นที่ 1 นายจักรภพพูดไว้ว่า
"วิกฤติทางการเมืองในปัจจุบันตามความเห็นของผม คือความขัดแย้งกันระหว่างประชาธิปไตยกับระบบอุปถัมภ์ ซึ่งเป็นความขัดแย้งแบบเผชิญหน้า และจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยและรากฐานของประเทศ ซึ่งเดิมพันสูงมากทั้งสองฝ่าย ทั้งประชาธิปไตยและระบบอุปถัมภ์ และถ้าท่านพิจารณาผลการลงประชามติเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม อย่างจริงจัง ท่านจะเห็นว่าเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างประชาชนจำนวน 56% และ 41% ของประชากรทั้งหมด ไม่เคยปรากฏมาก่อนที่ประชาชนจำนวนมากออกมาบอกว่า "เราไม่ต้องการการอุปถัมภ์ของท่านอีกต่อไป" เราต้องการประชาธิปไตย มิใช่คนที่มาตบหลังเรา ไม่ใช่คนที่บอกเราว่า "เราจะทำชีวิตคุณให้ดีขึ้นเล็กน้อย แต่คุณต้องสำนึกในบุญคุณของเรา" ถึงเวลาแล้วที่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงควรเป็นสิทธิ์ระดับชาติของประชาชนไทย ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ผมเชื่อว่าเราจะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ภายในชั่วชีวิตของเรา การเปลี่ยนเเปลงโดยสิ้นเชิงซึ่งกำลังเริ่มขึ้นในขณะนี้"
นายจักรภพว่าไว้อย่างนั้น
" ระบบอุปถัมภ์" ที่นายจักรภพว่าหมายถึงอะไรก็ต้องตามไปดูคำพูดต่อไปของนายจักรภพที่กล่าวไว้ดังนี้ซึ่งเป็นประเด็นที่ 2
" เราเริ่มต้นด้วยการเป็นประเทศในระบบอุปถัมภ์ ประวัติศาสตร์ชาติไทยถูกเลือกให้เริ่มต้นเมื่อ 700 ปีที่แล้วในสมัยสุโขทัย ซึ่งมีสุโขทัยเป็นเมืองหลวงในรัชสมัยหนึ่งในยุคสุโขทัย เราถูกชักนำให้เชื่อว่ากษัตริย์องค์หนึ่งในสมัยสุโขทัยคือพ่อขุนรามคำแหงเป็น "พี่ชายที่ยิ่งใหญ่" ขอโทษ "พ่อขุนรามคำแหงที่ยิ่งใหญ่" เนื่องจากแนวคิดที่ว่ากษัตริย์เปรียบเหมือนพระเจ้ายังมิได้เข้ามาในแผ่นดินไทยในสมัยสุโขทัย ดังนั้นกษัตริย์ในสมัยสุโขทัยจึงถูกมองว่าเป็น "พ่อที่ยิ่งใหญ่" ผู้ที่มีความเมตตากรุณาต่อประชาชน และให้สิ่งที่ประชาชนต้องการ
ตัวอย่างหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปก็คือ พ่อขุนรามคำแหงได้นำระฆังมาแขวนไว้ที่หน้าวัง ผู้ใดมีปัญหาก็สามารถเคาะระฆังได้ และพระองค์หรือคนของพระองค์ก็จะออกมาช่วยแก้ปัญหาให้ ด้วยเหตุนี้ก่อนที่เราจะรู้ตัว เราก็ถูกชักนำเข้าสู่ระบบอุปถัมภ์เสียแล้ว ในสมัยสุโขทัยเรามีกษัตริย์ที่ทำเช่นนั้น ดังนั้นประชาชนจึงมีหน้าที่ที่จะซื่อสัตย์ ประชาชนมีหน้าที่ที่จะต้องศรัทธาในระบบซึ่งมีผู้มอบให้เขา "
นายจักรภพให้ความหมายของระบบอุปถัมภ์หมายถึงกษัตริย์นั่นเอง เพราะฉะนั้นคำพูดของนายจักรภพตามประเด็นแรกที่ว่า "วิกฤติทางการเมืองในปัจจุบันตามความเห็นของผมคือความขัดแย้งกันระหว่างประชาธิปไตยกับระบบอุปถัมภ์ ซึ่งเป็นความขัดแย้งแบบเผชิญหน้า และจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยและรากฐานของประเทศ...การลงประชามติเมื่อวันที่ 19 สิงหาคมท่านจะเห็นว่าเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างประชาชน 56% และ 41% ของประชากรทั้งหมด ไม่เคยปรากฏมาก่อนที่ประชาชนจำนวนมากออกมาบอกว่า " เราไม่ต้องการการอุปถัมภ์ของท่านอีกต่อไป"
นายจักรภพ แปลงความหมายของการลงประชามติในเรื่องรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ไปเป็นอย่างอื่นใช่หรือไม่ และคำพูดของนายจักรภพที่ว่า "เราไม่ต้องการการอุปถัมภ์ของท่านอีกต่อไป" นั้นนายจักรภพกำลังบิดเบือนอย่างรุนแรงหรือไม่เกี่ยวกับความจงรักภักดีของประชาชนที่มีต่อสิ่งที่พวกเขาเทิดทูนสูงสุด
ผู้เขียน : ตาโป๋เป่าปี่
คอลัมน์ : กวนใจให้สะอาด หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 13/5/2008
Thursday, May 15, 2008
Hidden Agenda in Jakrapop Penkair's eyes (1)
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment